วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ

ปาโบล รุยซ์ ปิกัสโซ (Pablo Ruiz Picasso)
เป็นจิตรกรเอกของโลก ที่ได้รรับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่20  ปีกัสโซเกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1881 ที่เมืองมาลากา แคว้นอันดาลูเซีย ประเทศสเปน เป็นบุตรชายคนโตของ ดอนโคเซ รุยซ์ อี บลัสโก (Don Jose Ruiz สเปน : Don José Ruiz y Blasco) กับมารีอา ปีกัสโซ อี โลเปซ (Maria Picasso Ruiz ; สเปน : María Picasso y López) บิดาของปิกัสโซเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย เมื่อตอนเป็นทารก ปิกันโซ่ พูดคำว่า "piz, piz" [มาจากคำว่า "lápiz" (ลาปิซ) ที่แปลว่าดินสอในภาษาสเปน] เป็นคำแรก แทนที่จะพูดคำว่า"แม่"เหมือนเด็กทั่วไปปีกัสโซได้รับจานสีและพู่กันเป็นของขวัญวันเกิดตอนอายุ 6 ขวบจากบิดา เขาฉายแววการเป็นศิลปินระดับโลก เมื่อครั้งนึงที่บิดาของปีกัสโซกำลังวาดรูปนกพิราบของเขาอยู่นั้น สิ่งที่น่าทึ่งก็ได้บังเกิดขึ้น เมื่อบิดาของเขาออกไปจากห้องเพื่อทำอะไรบางอย่าง ปีกัสโซได้เข้าไปในห้อง แล้ววาดภาพนกพิราบต่อจนเสร็จ เมื่อบิดาเขากลับเข้ามาจึงได้พบว่าภาพที่วาดนั้นเสร็จสมบูรณ์และมีพลังมากกว่าที่ตนเองวาดเสียอีก
ผลงานของปิกัสโซมีหลากหลายรูปแบบ รวมถึงศิลปะภาพสีพู่กัน (painting), ภาพวาด (drawing), รูปหล่อ รูปปั้น (sculpture), ภาพพิมพ์ (printmaking) และ เครื่องเคลือบดินเผา (ceramics) ปิกัสโซสร้างสรรงานใหม่ๆ ขึ้นอย่างสม่ำเสมอ เขาเคยใช้ส่วนต่างๆ ของวัสดุในงานศิลปะของเขา ครั้งหนึ่งเขาใช้ชิ้นส่วนเก่าของรถจักรยาน ในการทำงานหล่อ ที่ชื่อ Bull's Head
ชีวประวัติของปิกัสโซจะแตกต่างจากจิตรกรชื่อดังหลายๆ คนที่ เมื่อเสียชีวิตจิตรกรเหล่านั้นจะยากจน และไม่เป็นที่รู้จัก ขณะที่ปิกัสโซร่ำรวยและได้รับการยกย่องเชิดชูให้เป็นจิตรกรเอกก่อนที่เขาจะเสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1973 (8 เมษายน ค.ศ. 1973) เมื่อเขาอายุได้ 91 ปี

 19 -

ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค หรือ วินเซนต์ แวน โก๊ะ



ฟินเซนต์ วิลเลิม ฟัน โคค (หรือที่ในไทยรู้จักในชื่อ วินเซนต์ แวน โก๊ะ
วินเซนต์ แวน โก๊ะ ถูกยกย่องให้เป็นจิตรกรชาวดัชท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถึงแม้ว่าชื่อเสียง ของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเอาในช่วง 3 ปีสุดท้ายของชีวิตการเป็นจิตรกรตลอด 10 ปี ก็ตาม แต่เขาก็ได้สร้างอิทธิพลต่อ ศิลปะแบบอิมเพรสเช่นนิสท์ แบบโมเดินท์ อารต์ เอาไว้มากมาย สร้างผลงานภาพเขียนสีน้ำมันกว่า 800 ภาพ และภาพวาดอีกกว่า 700 ภาพ ซึ่งตลอดชีวิตของเขานั้นมีเพียงภาพเดียวที่ขายได้ ความเจ็บป่วยทางสมอง และจิตใจของ แวน โก๊ะนั้นแสดงออกมาทางภาพที่เขาเขียน ด้วยการใช้สีอันร้อนแรง การปัดพู่กันแบบหยาบๆ และรูปแบบของลายเส้นที่ใช้จนในที่สุดก็ได้ผลักดันให้เขา จบชีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย

วินเซนต์ แวน โก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ปี ค.ศ. 1853 ที่ซันเดิรท์ ย่านบราแบรนท์ ในประเทศเนเธอร์แลนด์ วินเซนต์เป็นบุตรชายคนโต บิดาเป็นนักบวชนิกาย โปรแตสแตนท์ เมื่อแวนโก๊ะอายุได้ 16 ปี เขาได้ไปฝึกงานขายภาพศิลปะที่ฮูเก้นท์ เขาทำงานขายภาพทั้งในลอนดอน และปารีสไปจนกระทั่งถึงปีค.ศ. 1876

แวน โก๊ะก็เริ่มตระหนักว่า เขาไม่ชอบงานขายภาพที่เขาทำอยู่เลยประกอบกับถูก ปฏิเสธความสัมพันธ์จากหญิงที่ตนรัก ทำให้เขาเริ่มทำตัวออกห่างจากผู้คนมากขึ้น และตัดสินใจที่จะออกบวช แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขา ไม่สามารถผ่านการทดสอบให้เข้ามาเป็นนักบวชได้ ในที่สุดเขาก็กลายเป็นนักเทศน์ไป และในปีค.ศ.1878 เขาได้เดินทางไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของเบลเยี่ยมเพื่อทำการ เผยแพร่ศาสนา โดยพกพาเอาความยากจนค่นแค้นไปตลอดการเดินทางจากการเดินทาง ครั้งนี้ แวนโก๊ะ ได้มีปากเสียงกับนักเทศน์ผู้อาวุโส ทำให้เขาถูกขับออกจากกลุ่มในปี ค.ศ.1880 ในสภาพของคนสิ้นไร้ และสูญเสียความเชื่อของตนไป เขาจมอยู่กับ ความผิดหวัง และได้เริ่มเขียนรูป แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาไม่สามารถที่จะ เรียนรู้การเขียนภาพด้วยตนเองได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปบรัสเซลเพื่อเรียน การเขียนภาพ

ในปี ค.ศ.1881 แวน โก๊ะได้กลับมาทำงานที่ฮูเก้นท์อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มทำงานกับ ช่างเขียนภาพทางภูมิศาสตร์ ที่ชื่อ อันตน มัวร์ ฤดูร้อนของปีถัดมาได้เริ่มการทดลอง การเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน และด้วยเสียงเรียกร้องภายในจิตใจของ แวน โก๊ะ ให้ไปใช้ ชีวิตตามลำพังอยู่กับธรรมชาติ ทำให้เขาตัดสินใจเดินทางไปยังหมู่บ้านของชาวดัชท์ เพื่อเริ่มการเขียนภาพทิวทัศน์ที่งดงามตามท้องที่ต่างๆ เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับ การเขียนถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเขา ในปี ค.ศ.1883 เขาได้สร้างงานเขียนภาพชิ้นแรก ขึ้นมา โดยให้ชื่อภาพว่า " โปเตโต อีทเตอร์ "

เมื่อความเหงาและความอ้างว้างเริ่มเข้ามาแกาะกุมจิตใจของ แวน โก๊ะ เขาจึงออกจาก หมู่บ้านและเข้าศึกษาต่อที่ แอนท์เวอป์ ในเบลเยี่ยม แต่เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะปฏิบัติ ตามกฎของการเรียนที่นั่นมากนัก ช่วงที่เรียนอยู่ที่แอนเวอป์ เขาได้รับแรงบันดาลใจ จากจิตรกรที่ชื่อ ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ และได้เริ่มสนใจภาพพิมพ์ของญี่ปุ่นด้วย ในที่สุด เขาก็ได้เลิกเรียน เพื่อไปยังปารีส ทีนั่นเขาได้พบกับ เฮนรี่ เดอ ตัวรูส และจอร์จีนส์ รวมทั้งศิลปินอิเพราสเช่นนิสท์อีกหลายคน เช่น คามิล ปิสซาโร โซรัส และคนอื่น ๆ การใช้ชีวิต 2 ปีเต็มที่ปารีสนั้น ได้ขัดเกลาฝีมือในการเขียนภาพของ แวน โก๊ะ ให้ เฉียบคมยิ่งขึ้น เขาเริ่มใช้สีสันที่มีชีวิตชีวา และไม่ยึดติดอยู่กับการเขียนภาพแบบเก่าๆ

วินเซนต์ แวน โก๊ะ ใช้ชีวิตในตัวเมืองปารีส ได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เขาจึงออกจากปารีส ไปในปี ค.ศ.1888 เพื่อไปยังเมืองอาเรสทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ที่เมืองอาเรสนั้นแวน โก๊ะได้เช่าบ้านหลังหนึ่ง แล้วตกแต่งบ้านด้วยสีเหลืองทั้งหมด เขาหวังที่จะตั้ง กลุ่มศิลปินอิมเพรสเช่นนิสท์ขึ้น ในเดือนตุลาคม จอร์จีนส์ได้มาอยู่ร่วมกับเขาแต่ ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็ต้องขาดสะบั้นลงในคืนวันคริสตมาส อีฟ จอร์จีนส์ ได้โต้เถียงอย่างรุนแรงกับแวน โก๊ะ ทำให้แวน โก๊ะ เกิดบ้าเลือดขึ้นมาแล้วตัดใบหู ของตัวเอง ทำให้จอร์จีนส์จากไป และตัวของเขาเองต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การแสดงอาการต่างๆ ของแวน โก๊ะ นั้น ทำให้เห็นถึงสภาพจิตใจและประสาทที่ผิดปกติ ในที่สุดเขาก็ต้องเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เป็นเวลา 1 ปีเต็ม เมื่อ แวน โก๊ะ ออกจากโรงพยาบาล เขาได้ไปอาศัยอยู่กับศิลปิน นักฟิสิกส์ ได้ประมาณ 2 เดือน และในวันที่ 27 กรกฎาคมของปี ค.ศ.1890 เขาได้ยิงตัวเอง และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา

ช่วงชีวิตของ แวน โก๊ะตอนที่อยู่ที่อาเรสนั้น ได้สร้างผลงานเขียนภาพที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ มากมาย เขาเขียนภาพของธรรมชาติอันงดงาม ภาพทุ่งหญ้ายามต้องแสงอาทิตย์ ภาพของดอกไม้นานาชนิด และภาพดอกไอริสที่มีชื่อเสียงนั้นสามารถขายได้ถึง 53.9 ล้านดอลลาร์ในเวลานั้น
  • ค.ศ.1353 วินเซนต์ แวนก๊อก เกิดเมื่อวันที่30 มีนาคม ประเทศ ฮออลแลนด์
  • ค.ศ.1894-68 ศึกษาชั้นต้นในท้องถิ่น
  • ค.ศ.1869 เริ่มทำงานในห้องภาพกูปีล์ในกรุงเฮก เมื่ออายุ16ปี
  • ค.ศ.1873-76 เริ่มสนใจเรื่องศาสนา หลังจากลาออกจากงานในห้องภาพได้ไปเป็นครูที่โรงเรียนในแรมสเกท เมืองเล็กๆในอังกฤษ ต่อมาย้ายไปสอนและเทศน์ที่ไอเวิลเวิร์ธ เมืองเล็กๆใกล้กรุงลอนดอน
  • ค.ศ1877 สอบเข้าคณะเทววิทยาที่มหาลัยอัมสเตอร์ดัม แต่ได้ละทิ้งการศึกษาและจุดมุ่งหมายด้านนี้เสียในเวลาต่อมา
  • ค.ศ.1878-79 เป็นนักเทศน์ผู้จาริกไปในเขตเหมืองแร่เมืองบอริเนจในเบลเยี่ยมอุทิศตนให้กับชาวเหมือ งที่วาสเมอใกล้เมืองมอนส์ โดยพยายามแก้ไขปัญหาความยากแค้นอย่างเต็มทีแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ถึงแม้จะมีศรัทธาในศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่เขารู้สึกเหมือนถูกเรียกร้องให้เป็นศิลปินมากกว่า
  • ค.ศ.1880-85 ปี1880-81 ได้ไปศึกษากับจิตกรหลายคนในกรุงบรัสเซลส์ ศึกษาในกรุงเฮกในปี1881-83และที่เมืองแอนทะเวิร์ป ระหว่าง ค.ศ.1885-86 พร้อมกับศึกษาและเขียนภาพชีวิตชนบทของชาวเหมืองและชาวไร่ชาวนา ภาพคนกินมันฝรั่งเป็นผลงานที่แสดงอิทธิพลการเขียนแบบเก่าของดัตช์
  • ค.ศ.1886-87 ย้ายไปอยู่กับธีโอน้องชายที่ปารีส ธีโอทำงานอยู่ในห้องภาพที่นั่น ดังนั้นจึงเป็นผู้กว้างขวางและรู้จักศิลปินในแวดวงหลายคน แวนก๊อกรู้จักกับศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์และสนใจศึกษาเทคนิคภาพเขียนของแปร์ตองก ีเป็นแนวทางเขียนภาพของเขา สีที่สดขึ้น การป้ายสีเป็นไปอย่างอิสระและเส้นสายเป็นลูกคลื่นที่ได้แบบอย่างจากภาพเขียนของญีปุ่ นในช่วงชีวิตนี้ธีโอคือผู้ช่วยเหลือสำคัญทั้งด้านการเงินและทางอารมณ์ของแวนก๊อก ซึ่งถูกกดดันเนื่องจากผลงานไม่เป็นที่ยอมรับ
  • ค.ศ.1888 ป่วยเป็นโรคจิตและทะเลาะกับโกแกงจนถึงกับตัดหูข้างซ้ายของตน ต่อมาได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในเมืองอาร์เลส แชร์ทเรอมีและอูฟร์
  • ค.ศ.1889-90 ย้ายไปอยู่ที่อาร์เลสเมืองชนบทในฝรั่ง เป็นระยะที่มีการพัฒนาทางศิลปะอย่างสมบูรณ์ แต่ละภาพเต็มไปด้วยความรู้สึกอันรุนแรงของตัวจิตรกรที่รู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม การปรากฎของสิ่งต่างๆประจำวัน ถูกแปรเป็นแผ่นสีที่สดใสและเส้นสายที่สั่นสะเทือนเป็นลูกคลื่น อันเป็นสัญลักษณ์ของพลังสากลที่ควบคุมสรรพสิ่งในโลกไว้ ผลงานชิ้นเยี่ยมในข่วงนี้คือ ต้นไซเปรสกับหมู่บ้าน บ้านนาหลังใหญ่และดอกทานตะวัน
  • วินเซนต์ แวน โก๊ะ จบชีวิตด้วยการยิงตัวตายในวัย37ปี

เลโอนาร์โด ดา วินชี


เลโอนาร์โด ดาวินชี

(Leonardo da Vinci) เป็นชาวอิตาลี (เกิดที่เมืองวินชี วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 1995 (ค.ศ. 1452) - เสียชีวิตที่เมืองออมบัวซ์ ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519)) เป็นอัจฉริยบุคคลที่มีความสามารถหลากหลาย เป็นทั้ง สถาปนิกแบบเรอเนซองส์ นักดนตรี นักกายวิภาค นักประดิษฐ์ วิศวกร ประติมากร นักเรขาคณิต นักวาดภาพ. ดา วินชี มีงานศิลปะที่มีชื่อเสียงหลายชิ้น เช่น อาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) และ โมนา ลิซ่า (Mona Lisa) งานของ ดา วินชี ยังสร้างคุณประโยชน์กับวิชากายวิภาคศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมถึงวิศวกรรมโยธา ด้วยความที่เป็นบุรุษที่มีจิตวิญญาณที่รักในศาสตร์หลายแขนง เลโอนาร์โดทำให้เกิดจิตวิญญาณของสหวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และกลายเป็นบุคคลสำคัญของยุคนั้น
เลโอนาร์โด เกิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน โดยที่ๆเขาเกิดอยู่ห่างจากหมู่บ้านวินชี ในประเทศอิตาลี ไปราวสองกิโลเมตร บิดาชื่อนายแซร์ ปีเอโร ดา วินชี เป็นเจ้าพนักงานรับรองเอกสารของรัฐ มารดาชื่อคาตารีนา เป็นสาวชาวนา เคยมีคนอ้างว่านางคาตารีนาเป็นทาสสาวจากประเทศแถบตะวันออกในครอบครองของปีเอโร แต่ก็ไม่มีหลักฐานเด่นชัด
ในสมัยนั้นยังไม่มีมาตรฐานการเรียกชื่อและนามสกุลที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายในทวีปยุโรป ทำให้ชื่อและนามสกุลของดา วินชี ที่แท้จริงคือ เลโอนาร์โด ดิ แซร์ ปีเอโร ดา วินชี ซึ่งหมายความว่า เลโอนาร์โด บุตรชายของปีเอโร แห่ง วินชี แต่เลโอนาร์โดเองก็มักจะลงลายเซ็นในงานของเขาอย่างง่ายๆว่า เลโอนาร์โด หรือไม่ก็ ข้าเอง เลโอนาร์โด เอกสารสำคัญส่วนใหญ่ระบุว่าผลงานของเขาเป็นของ เลโอนาร์โด โดยไม่มี ดา วินชี พ่วงท้าย ทำให้เข้าใจได้ว่าเขาไม่ได้ใช้นามสกุลของบิดาเนื่องจากเป็นบุตรนอกสมรสนั่นเอง



โมนาลิซ่า
(Mona Lisa) หรือ ลา โฌกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง ค.ศ. 1503 ถึงปี 1507 เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์(Musée du Louvre) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
คำว่า โมนาลิซ่า นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์จีโอ วาซารี ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซ่า เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเซสโก้ เดล กิโอคอนดา(Francesco del Giocondo)
คำว่า โมนา(Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา(madonna) คุณผู้หญิง(my lady) หรือ มาดาม(Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ มาดาม ลิซ่า แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซ่า(Monna Lisa) แทน เนื่องจากภาษาอิตาลีคำว่ามาดอนนานั้น ส่วนมากจะใช้คำย่อว่า มอนนา(Monna)
ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1503 ถึง ค.ศ. 1507 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด
ในปี ค.ศ. 1516(พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปราถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ
ในปี ค.ศ. 1519(พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วันสงบศึก

วันสงบศึก  Page issues

 (หรือ ) ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน และเฉลิมฉลองการสงบศึกที่ลงนามระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมนีที่คองเปียญประเทศฝรั่งเศส ในการยุติความเป็นปรปักษ์บนแนวรบด้านตะวันตก ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อ "ชั่วโมงที่สิบเอ็ด ของวันที่สิบเอ็ด ของเดือนที่สิบเอ็ด" ของ ค.ศ. 1918 ขณะที่วันที่อย่างเป็นทางการนี้เป็นการยุติสงครามอันสะท้อนการหยุดยิงบนแนวรบด้านตะวันตก ความเป็นปรปักษ์ยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลอดดินแดนอดีตจักรวรรดิรัสเซีย และบางส่วนของอดีตจักรวรรดิออตโตมัน

วันดังกล่าวถูกประกาศเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อระลึกถึงทหารผู้เสียชีวิตระหว่างสงคราม ยกเว้นในอิตาลี ซึ่งมีการจัดการระลึกถึงสงครามตรงกับวันที่ 4 พฤศจิกายน หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อของวันหยุดดังกล่าวถูกเปลี่ยนเป็น "วันทหารผ่านศึก" ในสหรัฐอเมริกาและ "วันที่ระลึก" ในประเทศเครือจักรภพแห่งชาติอังกฤษ วันสงบศึกยังเป็นวันหยุดราชการในฝรั่งเศสและเบลเยียมจนถึงปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

C'est moi

           Bonjour. Je m'appelle Sunun. J'ai seize ans. Je suis petite et sympathique. J'ai les cheveux noirs et les yeux noirs. Je porte un t-shirt bleu ,un pantalon marron, des lunettes et une montre.

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เยือนเมืองน้ำหอม เที่ยวฝรั่งเศส 4 เมืองดัง ปารีส-นีซ-กอลมาร์-กราสส์


เยือนเมืองน้ำหอม เที่ยวฝรั่งเศส 4 เมืองดัง ปารีส-นีซ-กอลมาร์-กราสส์
วันวันอังคารที 16 กันยายน 2014
เยือนเมืองแห่งน้ำหอม แฟชั่น ศิลปะและขนมหวานสุดฮิตมาการอง ตะลุยเที่ยว 4 เมืองดังกับไฮไลท์ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในฝรั่งเศส ที่คุณไปเองได้
เสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner ขอพาคุณไปบงชูว์ ลา ฟร็องซ์ เที่ยวฝรั่งเศส 4 เมืองยอดนิยม ตั้งแต่กรุงปารีสจนถึงนีซเมืองตากอากาศทางตอนใต้ พร้อมข้อมูลประเทศฝรั่งเศส อากาศฝรั่งเศส และไฮไลท์สถานที่ท่องเที่ยวในฝรั่งเศสเด่นๆ ให้คุณได้เลือกวางแผนการท่องเที่ยว ฝรั่งเศสด้วยตนเอง รับรองว่าไปฝรั่งเศสคราวนี้คุณไม่พลาดสถานที่เที่ยวฝรั่งเศสดีๆ อย่างแน่นอน
ฝรั่งเศส เดสติเนชั่นยอดนิยมตลอดกาลของนักท่องเที่ยวชาวไทย เมืองแห่งศิลปะและแฟชั่นชั้นนำ เมืองแห่งศิลปวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่เมืองหนึ่งของยุโรป เมืองแห่งขนมอบและขนมหวานแสนอร่อย เมืองแห่งไวน์ชั้นดี และอีกหลายสรรพคุณของดินแดนแห่งนี้ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกตลอดมา
ไปเที่ยวช่วงไหนดี ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือน คือ ช่วงฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน เพราะจะได้ชมสีสันธรรมชาติสวยงามและอากาศกำลังสบายไม่หนาวเหน็บ แต่ทั้งนี้ในช่วงฤดูหนาวก็เป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาลงานดนตรีและศิลปะต่างๆ แถมยังได้มาสัมผัสอากาศเย็นๆ แถบยุโรป ได้จัดเต็มใส่โอเวอร์โค้ต รองเท้าบูทสูง เดินกอดกันท่ามกลางหิมะโปรยปราย โรแมนติกไปอีกแบบ

ปารีส (Paris)

Paris, France
เมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส มีความสำคัญทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ ศิลปะและวัฒนธรรมทั้งของประเทศฝรั่งเศสและทวีปยุโรป

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ

หอไอเฟล (Eiffel Tower)

ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสและปารีสเลยก็ว่าได้ สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2432 โดยสถาปนิกชื่อดังของประเทศ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เป็นจุดชมวิวเมืองชั้นเยี่ยม ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกไปเยือนหอไอเฟลมากกว่า 60 ล้านคน

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Louvre Museum)

พิพิธภัณฑ์ที่มีความสำคัญและใหญ่โตในอันดับต้นๆ ของโลก เป็นสถานที่เก็บรักษาศิลปวัตถุและโบราณวัตถุเกือบ 4 แสนชิ้น และเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีงานแสดงภาพวาดชื่อดังก้องโลก โมนาลิซ่า (Mona Lisa) และภาพเขียนล้ำค่าชื่อดังอีกมากมาย มากไปกว่านั้นก่อนที่จะกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นป้อมปราการเก่าที่ภายหลังได้มาสร้างเป็นพระราชวัง สถานที่เก็บสะสมและจัดแสดงสมบัติของพระมหากษัตริย์ และครั้งหนึ่งก็เป็นสถานที่จัดงานอภิเษกสมรสของพระเจ้านโปเลียนมหาราชอีกด้วย

พระราชวังแวร์ซายส์ (Versaille Palace)

พระราชวังหลวงที่มีความสวยงามและยิ่งใหญ่ในระดับโลก และยังติดอันดับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ฝีมือมนุษย์สร้าง พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหมด ใช้เวลาการสร้างยาวนานถึง 30 ปี เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2231 ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสูงถึง 5 ร้อยล้านฟรังก์ ที่เก็บมาจากภาษีอากรของประชาชนจนทำให้เกิดความไม่พอใจและต่อต้านราชวงศ์ขึ้น และเป็นจุดจบของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อ็องตัวแน็ต (Marie Antoinette) ปัจจุบันพระราชวังยังมีความสมบูรณ์สวยงามและเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชม

ถนนฌ็องเซลิเซ่และประตูชัยฝรั่งเศส (Champs Elysees and Arc de Triomphe)

สัญลักษณ์อีกอย่างของปารีสและฝรั่งเศส ประตูชัยของประเทศที่ตั้งอยู่บนถนนที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามและโด่งดังที่สุดของประเทศ สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่ระลึกถึงทหารหาญในอดีต อีกทั้งยังเป็นสุสานของทหารนิรนามที่ได้พลีชีพในการรบกับเยอรมันในยุคสมัยของพระเจ้านโปเลียน

กอลมาร์ (Colmar) ใกล้กับเมืองมัลเฮาส์ (Mulhouse)

Colmar, France
เมืองเล็กที่มีคูคลองสายน้ำพาดผ่านจนขึ้นชื่อว่าเป็น “ลิตเติ้ลเวนิซ” อีกทั้งยังเป็นเมืองที่ติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองโรแมนติกที่สุดในโลกอีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งไร่ไวน์ชั้นดี มีความสวยงามด้วยธรรมชาติหุบเขาและไร่องุ่นอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีบรรยากาศเมืองเก่ายุโรปที่ยังคงอนุรักษ์อาคารบ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมไว้ให้คนรุ่นปัจจุบันได้ชื่นชม

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ

โบสถ์เซนต์มาร์ติน (St Martin's Church)

โบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากหินสีชมพูทั้งหลัง สร้างขึ้นในราวปี ค.ศ. 1234-1365 ถือเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองกอลมาร์ มีสถาปัตยกรรมโกธิคที่สวยงามโอ่อ่า

พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอิงเตแลงดอง (Unterlinden Museum)

สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ยอดนิยมแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ภายในจัดแสดงงานศิลปกรรมภาพวาดของศิลปินชื่อดังมากมายในอดีต รวมไปทั้งชุดเกราะสมัยยุคอัศวิน เครื่องเงินโบราณล้ำค่า และงานด้านดนตรีพื้นเมืองที่น่าสนใจมากมาย อีกทั้งยังเป็นแหล่งข้อมูลการท่องเที่ยวชั้นดีประจำเมืองอีกด้วย

การ์ซง ดู แฟง (Gazon du Faing)

แหล่งชมธรรมชาติป่าเขาอันสวยงามเลื่องลืออยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกอลมาร์ราว 40 นาที เป็นเขตหุบเขาสูงที่มีความงดงาม มีทะเลสาบกลางหุบเขาขนาดใหญ่ และธารน้ำตกสูง ”รูด์แลง” (Rudlin Falls) ที่ตกลงมาจากหน้าผา เป็นแหล่งปีนเขายอดนิยมแห่งหนึ่งที่สามารถมาเยือนได้ตลอดปี

อาคารศุลกากรเก่าประจำเมือง (Old Custom House –Kofhus)

ถือเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญของเมืองที่มีการก่อสร้างอันยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1433-1480 เป็นสถานที่ราชการของเมืองนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 อาคารแห่งนี้ได้รับการบูรณะต่อเติมหลายครั้ง และถูกใช้เป็นทั้งสถานที่ราชการ โรงเรียน ธนาคารและในปัจจุบัน ได้รักษาไว้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์

พิพิธภัณฑ์รถไฟจำลองและของเล่นโบราณ (Musee du Jouet et du Petit Train)

พิพิธภัณฑ์ในฝันของเด็กๆ และผู้ที่หลงใหลในของเล่นโบราณ จัดแสดงตุ๊กตา รถไฟไอน้ำ รถยนต์ เครื่องบิน และเรือของเล่นในอดีต

พิพิธภัณฑ์ บาร์โทลดี (Musee Bartholdi)

บ้านของศิลปินดังในอดีต ออกุสต์ บาร์โทลดี (Auguste Bartholdi) ผู้สร้างสรรค์รูปปั้นเทพีสันติภาพของอเมริกา (The Statue of Liberty) และสิงโตหินแห่งเบลฟอร์ด (Lion of Belfort) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเขตเมืองเก่าของกอลมาร์ จัดแสดงคอลเลคชั่นงานศิลปะของศิลปินเจ้าของบ้านและของสะสมน่าสนใจต่างๆ รวมไปถึงโมเดลเทพีสันติภาพและสิงโตแห่งเบลฟอร์ด และห้องแสดงศิลปะชาวยิวโบราณอีกด้วย

นีซ (Nice)

Nice, France
เมืองตากอากาศริมชายฝั่งแฟรนช์ริเวลล่า (French Riviera) ติดกับประเทศอิตาลี มีบรรยากาศผสมแบบเมดิเตอร์เรเนียนอันเป็นที่หลงใหลของนักท่องเที่ยวทั่วโลก นอกจากจะมีชายหาดสวยงามอยู่ทั่วไปแล้ว เมืองนี้ยังเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่อีกด้วย นีซเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมโบราณอันสวยงาม พิพิธภัณฑ์ แกลอรี่ ร้านค้า ที่ยังคงสภาพเมืองในอดีตไว้ ไม่นับรวมซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างที่สำคัญและสวยงามอีกหลายแห่ง

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ

คาสเซิล ฮิลล์ (Castle Hill)

สวนสาธารณะบนเขายอดนิยม จุดชมวิวหลักของเมือง

จัตุรัสมาเซน่า (Place Massena)

จัตุรัสยอดนิยม แลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้ มีถนนสายช้อปปิ้ง สายแกลอรี่หลายเส้นที่แยกออกจากจัตุรัสแห่งนี้

โมนูม็อง เด มอรต์ (Monument des Morts)

อนุสรณ์ของเหล่าทหารที่สละชีพในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย (Modern and Contemporary Art Museum - MAMAC)

สถานที่จัดแสดงประติมากรรมก้อนหินสี่เหลี่ยมขนาดมหึมาชื่อดัง ลาเต็ตโอคาร์ (La Tete au Carre-Thinking inside the box)

โบสถ์เซนต์นิโคลัส (Cathedrale Orthodoxe Russe Saint-Nicolas de Nice)

โบสถ์รัสเซียโบราณที่อยู่คู่เมืองนี้มาช้านาน

อนุสาวรีย์ประจำเมือง (Le Monument du Centenaire)

อนุสาวรีย์ที่สร้างเมื่อครั้งฉลองครบรอบ 100 ปีของเมืองนี้ในปี ค.ศ. 1893

ย่านเมืองเก่านีซ (Le Vieux Niece)

แหล่งบ้านเมืองแบบเก่า มีสถานที่ท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมและพิพิธภัณฑ์ศิลปะมากมาย และยังเป็นแหล่งอาหารทะเลสดอร่อยยอดนิยมของเมืองอีกด้วย

ตลาดกูร์ ซาลียา (Cours Saleya)

ตลาดดอกไม้สดอันขึ้นชื่อ ชนิดที่ว่ามาเมืองนีซแล้วห้ามพลาดมาเยือนตลาดแห่งนี้ นอกจากจะมีดอกไม้ให้เลือกชมเลือกซื้อมากมาย แถบนี้ยังมีตลาดผลไม้สด เป็นย่านร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตลาดของเก่าขึ้นชื่ออีกด้วย

ซิมิเย่ (Cimiez)

เป็นเขตที่พักอาศัยของเศรษฐีในเมืองนี้ อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น ซากปรักหักพังของอ่างอาบน้ำโรมันโบราณ (Archaeological museum-Roman baths) สวนกุหลาบ (Monastry Garden) โบสถ์โบราณและพิพิธภัณฑ์ฟรานซิสกัน (Franciscan Church and Museum)

ถนนเดส ซ็องเกรส์ (Promenade des Anglais)

ถนนเลียบชายหาดชื่อดังของเมืองที่ทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา มีส่วนของบ้านเรือนริมเขาที่สร้างตั้งแต่ช่วงสมัยศตวรรษที่ 18 เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม ไม่ว่าจะอาบแดดริมหาด เดินเล่นกินลม หรือจิบไวน์ ชิมอาหารทะเล ณ ร้านอาหารริมหาดมากมาย

กราสส์ (Grasse) ใกล้กับเมืองนีซ (Nice)

Grasse, France
เมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของประเทศ หากนึกไม่ออกว่าเมืองนี้อยู่ตรงไหน ขอให้นึกถึงทุ่งดอกลาเวนเดอร์สวยงามกว้างใหญ่แห่งแคว้นโพรวองซ์ (Provence) ซึ่งเมืองกราสส์ก็เป็นเมืองๆ หนึ่งของแคว้นอันสวยงามนี้นั่นเอง ด้วยเหตุที่ว่าเมืองนี้เป็นแหล่งผลิตน้ำหอมชั้นดี ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีร้านขายน้ำหอมมากมายในเมือง และที่สำคัญการตกแต่งร้านของเมืองนี้เขามีเอกลักษณ์ความสวยงามโดดเด่นเป็นของตนเองแตกต่างจากร้านค้าในห้างสรรพสินค้าของเมืองหลวงอื่นๆ

สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ

โนเทรอดาม เดอ ปุย (Notre-Dame de Puy)

มหาวิหารเก่าแห่งลัทธิคาลอลิกประจำเมือง ตั้งอยู่บนหุบเขา มีขนาดใหญ่โตโอ่อ่า และมีงานสถาปัตยกรรมแบบยุโรปโบราณที่สวยงาม รวมไปถึงภาพเขียนอันวิจิตรทางด้านศาสนา เดอะวอชชิ่ง ออฟ เดอะ ฟีท (The Washing of the Feet) ที่วาดโดยศิลปินเอก ฌ็อง โอโนเร่ ฟราโกนาร์ (Jean-Honoré Fragonard)

โรงผลิตน้ำหอมฟราโกนาร์ (Fragonard-Glasse Perfume Factory)

โรงงานผลิตน้ำหอมอันเก่าแก่และมีชื่อเสียงประวัติความเป็นมาพร้อมๆ กับการสร้างเมือง ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมือง

พิพิธภัณฑ์ด้านสุคนธศาสตร์นานาชาติ (Musée International de la Parfumerie)

จัดแสดงประวัติความเป็นมาของเมืองและความเป็นมาของการผลิตน้ำหอม ขั้นตอนการผลิตน้ำหอม รวมไปถึงสวนดอกไม้พันธุ์ต่างๆ ที่เป็นส่วนผสมหลักของน้ำหอมประจำเมือง และน้ำหอมชื่อดังที่ผลิตจากโรงงานในเมืองแห่งนี้ ชาแนล หมายเลข 5 (Chanel No.5)

หุบเขาสกลอสส์เบิร์ก (Schlossberg)

หุบเขาอันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์พืชและดอกไม้นานาพันธุ์ที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำหอม มีวิวทิวทัศน์สวยงาม

อาหารฝรั่งเศส ที่เมื่อได้ไปเที่ยวฝรั่งเศสต้องรับประทาน



อาหารฝรั่งเศส ที่ได้พอเมื่อไปเที่ยวฝรั่งเศสต้องรับประทาน

1. Quiche 
คีช เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้ ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา


2. Ratatouille 
ราทาทุย หรือ แรททาทูอี เป็นอาหารพื้นเมืองของฝรั่งเศส โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Nice ทานตอนใต้ของฝรั่งเศส อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ratatouille ni?oise คำว่า ratatouille มาจากภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราทาทุยปัจจุบันพบเห็นได้ที่ Occitan Proven?a และ Ni?a โดยมักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน Ratatolha de Ni?a สูตรดั้งเดิมนั้นจะใช้เพียงแค่ ซุชีนี่, มะเขือเทศ, พริกหยวกแดงและเขียว, หัวหอม, และกระเทียม ราทาทุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย ปกติราทาทุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร


3. soufflé 
ซูเฟล เป็นเค้กชนิดหนึ่ง เนื้อเบา ฟูนุ่ม ใช้เสิร์ฟเป็นของหวานหรืออาหารว่าง ซูเฟลมีหลายแบบเช่น ซูเฟลซอสปู ซูเฟลช็อกโกแลต


4. French Wine 
ไวน์ของประเทศฝรั่งเศสนั้น เป็นที่นิยมมาก ซึ่งได้มีการจัดให้เป็นไวน์ที่มีรสชาติดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว ในฝรั่งเศสมีแหล่งผลิตไวน์อยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีการผลิตไวน์มากเป็นอันดับที่สองของโลกรองจาก ประเทศ สเปน เท่านั้น 
ไวน์ที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ดื่มเอง ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละคน แต่โดยการแนะนำของผู้คนจำนวนมากแล้ว ไวน์จาก 
ประเทศฝรั่งเศสเป็นถิ่นกำเนิดไวน์ชั้น เยี่ยม อาทิ แชมเปญ บอร์โดซ์ เบอร์กันดี และไม่มีประทศใดในโลกที่สามารถผลิตไวน์ได้หลากหลายชนิดเท่าฝรั่งเศส ไวน์เป็นสัญญลักษณ์เฉพาะของงานเลี้ยง วิธีการและขั้นตอนในการดื่มไวน์จะเป็นตัวช่วยเพิ่มคุณค่าและรสชาติที่ดีของไวน์ได้ การชิม ไวน์ ของ ฝรั่งเศสนั้น เนื่องจากเขตพื้นที่ที่มีการปลูกองุ่นในประเทศฝรั่งเศสครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล จากเหนือจรดใต้ จากตะวันออกจรดตะวันตก ระยะห่างนี้ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างเขตพื้นที่ ซึ่งมีผลต่อลักษณะของดินที่ใช้ปลูกองุ่น ทิศทางที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์และภูมิอากาศ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดไวน์ที่ได้จากเขตเพาะปลูกองุ่น จึงมีลักษณะเฉพาะตัวที่ต่างกันออกไป ประเทศฝรั่งเศสให้ผลผลิตไวน์ นานาชนิดแก่นักชิมไวน์ทั้งหลาย คือมีไวน์ appellations กว่า 400 ชนิด และแว็งเดอเปยี อีกมากมายหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งมีสีสัน รสชาด และลักษณะเฉพาะตัวให้เลือกตามรสนิยม และความพอใจอย่างเหลือเฟือ

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประวัติความเป็นมาของขนมมาการอง ( Macaron )



ประวัติความเป็นมาของขนมมาการอง ( Macaron )
ประวัติ มาการอง ขนมหลากสีสันสุดฮิต

            มาการอง (Macaron) มีประวัติศาสตรยาวนานหลายร้อยปี และช่วง 5-6 ปีมานี้ ชาวปารีสและเหล่าฟู๊ดดี้ในประเทศโลกเจริญแล้ว ต่างคลั่งไคล้ใหลหลงคุกกี้ชิ้นเล็กๆ กลมๆ 2ชิ้นประกบกัน ตรงกลางมีไส้ หน้าตาเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ รสหวาน สีสันสดใส และราคาสูงจนน่าตกใจ และวันนี้ร้านขนมในเมืองไทยหลายร้าน เริ่มผลิตมาการองออกวางขายกันไม่น้อย แม้ผู้บริโภคจะยังไม่ต่อคิวรอซื้อมากินกันเป็นล่ำเป็นสันก็ตาม เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส


           

           ในยุคข้าวยากหมากแพง ช่วง Frenchrevolutionที่มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ช่วงนั้นมิชชันนารีชาวอิตาลี ที่อาศัยในฝรั่งเศสหาวิธีทำดำรงชีพจากAlmond น้ำตาล และไข่ขาว ซึ่งเป็นของราคาไม่แพง แต่มีคุณค่าทางอาหาร จึงริเริ่มนำสามอย่างนี้มาตีรวมกันและอบในเตาอบ ออกมาเป็นขนมรูปร่างคล้ายจานบิน ด้านนอกกรอบนิดๆ กัดเข้าไปด้านใน ทุกอณูนิ่มละลายในปากทันที ด้วยรสชาติที่หอมหวานลงตัว และวัตถุดิบที่หาง่ายในยุคนั้นราคาไม่แพงมาการองจึงได้รับความนิยมแพร่หลาย

           
             จนกระทั่งต่อมามีผู้นำมาการองสองอันมาประกบกันแล้วทำไส้อยู่ตรงกลางซึ่่งเป็นรูปแบขนมmacaronที่รับประทานมาจนทุกวันนี้มาการองยุคใหม่ ถูกปฏิวัติให้เจ๋งยิ่งขึ้นโดยพ่อมดของหวานชาวฝรั่งเศส Piere Herme' ซึ่งนำผลไม้จากทุกมุมโลกมาสร้างสรรค์มาการองรสชาติต่างๆ จนกระทั่งกลายเป็นขนมที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ปัจจุบันขนมชนิดนี้เป็นทั้งของหวานแสนอร่อย เป็นทั้งแฟชั่น ที่เชฟเทพๆทั้งหลายแข่งกันครีเอตหน้าตา และรสชาติออกมาอย่างสวยงาม

          


                       เสน่ห์ของ “มาการอง  ไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น แต่ว่ากันว่าลักษณะของมาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบน ๆ ที่มองดูจากด้านบนจะเป็นรูปวงกลม ผิวด้านบนของขนมเรียบมันจากความละเอียดของ เมล็ดอัลมอนด์บด ส่วนที่สำคัญ คือ ส่วนล่างของชิ้นขนมที่เรียกว่า  “Foot”  หรือบางคน  เรียกว่า  Skirt”  ซึ่งมัน คือ รอยหยักคล้ายลูกไม้ชายกระโปรงที่บางกรอบ ซึ่งกว่าจะทำได้เช่นนั้นก็ต้องมีวิธีการทำที่ยุ่งยากพอควร  และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ  กลิ่นอันหอมหวาน  เคล็ดลับอยู่ที่หลังจากนำ มาการองสองชิ้นมาประกบกันแล้ว ต้องเก็บไว้ในที่เย็นสักหนึ่งคืน เพื่อให้ไส้รสชาติต่าง ๆ ซึมซับเข้าสู่ชั้นของเนื้อขนม   นอกจากนี้ความชื้นจากไส้ครีมยังทำให้ มาการองมีความนุ่มหนึบเวลาเคี้ยวอีกด้วย  จะต้องมีรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้ครีมกานาชกับเนื้อคุกกี้  ขนาดของส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบนและล่างที่ต้องเท่า ๆ กัน  รวมทั้งไส้ที่บีบให้พอดีขอบและมองเห็นเป็นแนวเส้นเล็ก ๆโดยรอบตลอดชิ้น

                                                                                

         









วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 เหตุผลที่ควรเรียนภาษาฝรั่งเศส



1. ภาษา สนทนาแห่งโลก ผู้คนจำนวนมากว่า 200 ล้านคนใน 5 ทวีปสนทนาโดยใช้ภาษาฝรั่งเศส ประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสทั้ง 68 ประเทศและรัฐบาลต่างรวมกลุ่มกัน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาต่างประเทศที่เข้าใจกันอย่างกว้างขวางรองมาจากภาษา อังกฤษและเป็นภาษาที่มีการใช้ในการสนทนามากเป็นลำดับที่ 9 ของโลก
2. ภาษา เพื่อการสรรหาอาชีพ การสนทนาภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเป็นคุณสมบัติโดดเด่นทุกหนทุกแห่งสำหรับ โอกาสในการหาอาชีพในตลาดอาชีพสากล ทั้งในประเทศฝรั่งเศสเองหรือประเทศอื่นที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส (แคนาดา สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม และทวีปแอฟริกา) ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศในลำดับที่ 5 ของโลกที่มีอำนาจในทางพาณิชย์และเป็นประเทศในลำดับที่ 3 ในการต้อนรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
3. ภาษาแห่งวัฒนธรรม ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาสากลสำหรับเรื่องอาหาร แฟชั่น ภาพยนตร์ ศิลปะ เต้นรำ และการออกแบบ การรู้จักภาษาฝรั่งเศสสามารถเข้าถึงในการเข้าใจต้นแบบของวรรณกรรมฝรั่งเศส รวมทั้ง ภาพยนตร์ บทเพลง และวรรณกรรมของประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสอื่นๆ ด้วย ได้แก่ ผลงานของ Victor Hugo, Molière, Edith Piaf, Sartre หรือ นักฟุตบอลอย่าง Zinedine Zidane…
4. ภาษาเพื่อการเดินทาง ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีผู้มาเยือนมากกว่า 70 ล้านคนต่อปี และสถานที่ที่น่าเยี่ยมชม คือ ปารีส และ ทุกแคว้นของประเทศฝรั่งเศส ความรู้ในภาษาฝรั่งเศสเปิดโอกาสให้เข้าใจวัฒนธรรม ความคิด และวิถีชีวิตของคนฝรั่งเศส และประเทศอื่นๆที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสได้ดียิ่งขึ้น
5. ภาษาเพื่อการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย ความรู้ ความเข้าใจภาษาฝรั่งเศส จะสามารถศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง สถาบันการศึกษาชั้นสูง ชั้นนำระดับโลกในฝรั่งเศสได้ ในระดับ มหาวิทยาลัยนี้ รัฐบาลยังมีทุนการศึกษาหลายทุนสำหรับนักเรียนที่เรียนดีอีกด้วย
6. ภาษาเพื่อความสัมพันธ์นานาชาติ ภาษา ฝรั่งเศสเป็นภาษาแห่งโอกาสในการทำงาน และภาษาทางการของสหประชาชาติ สหภาพ ยุโรป ยูเนสโก้ องค์การนาโต้สภาโอลิมปิกสากล ฯลฯ ภาษาใน 3 เมืองสำคัญของยุโรป Strasbourg , Bruxelles และ Luxembourg
7. ภาษา สำหรับการเปิดโลกทัศน์ นอก จากอังกฤษและภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 3 ในอินเตอร์เน็ต การเข้าใจในภาษาฝรั่งเศส สามารถเข้าใจในโลกการสื่อสารกับต่างประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสทั่วทุกทวีป และการรู้ข่าวสาร ระหว่างประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส
8. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจ มีวิธีมากมายที่จะสนุกกับการเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสในการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
9. การ เข้าใจภาษาฝรั่งเศสช่วยในการเข้าใจภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาที่มีรากศัพท์มาจาภาษาละติน 50% ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีส่วนคล้ายกับภาษาฝรั่งเศส
10. ภาษา แห่งความรักและจิตวิญญาณ การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสเป็นความสุขในการเข้าใจภาษาที่สวยงาม ไพเราะ ซึ่งถูก เรียกว่าเป็นภาษาแห่งความรัก ภาษาฝรั่งเศสยังเป็นภาษาแห่งการวิเคราะห์ ที่มีโครงสร้างให้เกิดความคิด พิจารณา วิพากษ์วิจารณ์ และสามารถใช้ในการ ปรึกษา เจรจา และการต่อรอง